ก่อนหน้านี้ไม่มี ใครรู้ว่าคนกลุ่มไหนอาศัยอยู่ ทว่า ราวศตวรรษที่ 15 ชาวเขาเผ่าต่างๆ ตั้งแต่ม้ง เย้า เฝอลู่ ฯลฯ เข้ามาจับจองพื้นที่ กระทั่งศตวรรษที่ 19 เริ่มมีบาทหลวงและกองทัพฝรั่งเศสเข้ามาทางตอนใต้ของประเทศจีน และรุกล้ำเข้ามาบริเวณตอนเหนือของเวียดนามแห่งนี้ เมื่อขึ้นมาเจอกับอากาศและธรรมชาติของ ซาปา ชาวฝรั่งเศสเห็นว่าน่าจะเหมาะสำหรับการเป็นสถานที่พักฟื้นสำหรับคนป่วย โดยเริ่มมีการสร้างวิลล่าสำหรับเศรษฐีที่เข้ามาจับจองพื้นที่กันอย่างถาวร
สงครามโลกครั้งที่ 2 ของที่นี่ดูยาวนาน หลังจากที่ยุโรปจบสิ้นในปี 1945 ที่นี่ลากยาวไปถึง 1954 (สงครามอินโดจีน 1) วิลล่าหรูถูกทำลายโดยเวียดมินห์ ฝรั่งเศสแพ้ม้วนเสื่อกลับบ้าน คนท้องถิ่นเองก็ไม่มีใครอยู่ได้ เมืองซาปาหลับไหลไปในสงครามอินโดจีนอีก 2 ครั้ง (กับสหรัฐ 1950-1975 และจีน 1979) ก่อนจะเปิดตัวเพื่อการท่องเที่ยวเมื่อปี 1993

เรียกว่า หากใครยังไม่เคยไปก็ควรไปลองสัมผัสประสบการณ์ทั้งสองบรรยากาศ คือ หน้าหนาวที่วันหนึ่งมีประมาณ 4 ฤดูเห็นจะได้ เดี๋ยวฟ้าใส เดี๋ยวหมอกลง เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก ขณะที่เมื่อเข้าฤดูร้อนอาจจะเหลือสัก 3 ฤดู ทั้งได้ชื่นชมนาข้าวสีทองเป็นของแถม
เตรียมตัวเดินทาง
การเดินทางไปซาปาไม่ยาก เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบินไปลงที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ซึ่งมีทั้งสายการบินโลว์คอสต์อย่าง แอร์เอเชีย เจ็ตสตาร์แอร์เวย์ส แต่ลองเช็กดูในเว็บอย่าง expedia.co.th ดู อาจได้บินกับสายการบินระดับ 5 ดาว ในราคาพอๆ กับโลว์คอสต์ เช่น กาตาร์แอร์เวย์ส หรือแอร์ฟรานซ์ ก็มีราคาดีเป็นช่วงๆ (จองล่วงหน้านานๆ ย่อมถูกกว่า)
ทิปส์ในการจองตั๋วเครื่องบินที่หลายคนอาจรู้แล้ว แต่บอกเอาไว้อีกหน่อยคือ พอเช็กราคาจากเว็บไซต์ที่ให้บริการรวบรวม cheap flights อย่างเช่น expedia.co.th, skyscanner.net, th.edreams.com, cheapflights.com ฯลฯ แล้วอย่าลืมเข้าไปเช็กใน official เว็บไซต์ของสายการบินที่เราเลือกจะจองด้วย อาจได้ราคาถูกกว่า
มาถึงเรื่องที่พัก จะจองไปล่วงหน้าก็สะดวกดีจะได้ไม่ต้องเดินหา เพราะภูมิประเทศของซาปาเป็นภูเขา
อาจต้องปีนบันไดกันจนประชุมอาเจี้ยนทีเดียว (อิอิ) ถ้าใครชอบวิวที่สูงสวยๆ แนะนำให้จองโรงแรมบนถนน Hoang Dieuซึ่งจะต้องปีนบันไดแคบๆ ขึ้นไปนิดนึง แต่ว่าถ้าได้เข้าพักก็คุ้มค่ากับวิวของเมืองซาปา แถวๆ นี้ก็มีโรงแรม Sapa Elite Hotel, Sapa Panorama Hotel, Fansipan Mountain View ฯลฯ
อาจต้องปีนบันไดกันจนประชุมอาเจี้ยนทีเดียว (อิอิ) ถ้าใครชอบวิวที่สูงสวยๆ แนะนำให้จองโรงแรมบนถนน Hoang Dieuซึ่งจะต้องปีนบันไดแคบๆ ขึ้นไปนิดนึง แต่ว่าถ้าได้เข้าพักก็คุ้มค่ากับวิวของเมืองซาปา แถวๆ นี้ก็มีโรงแรม Sapa Elite Hotel, Sapa Panorama Hotel, Fansipan Mountain View ฯลฯ
ใครชื่นชอบการเข้าพักในเมืองใกล้ๆ ย่านอาหารการกิน ที่เที่ยว และแหล่งช็อปปิ้ง ต้องไปพักแถวถนน Cau May กับถนน Fansipan แถวนี้โรงแรมมากมายนับไม่ถ้วนเลยล่ะ
คนไทยมักชอบไปพักกันที่ Sapa Summit Hotel ราคาไม่แพง วิวสวยทีเดียวล่ะแถวนั้น ติดว่ามันอออกจะเก่าไปหน่อย ลองหาใกล้ๆ กัน เห็นมีสร้างใหม่หลายแห่งทีเดียว
ไปกันเลยดีกว่า

สำหรับคนต้องการจะซื้อซิมโทรศัพท์ เข้าไปซื้อร้านในเมืองจะถูกกว่า บอกว่าใช้สำหรับอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวสัก 1 แสนด่อง (150 กว่าบาท) ก็อยู่ได้ 5 วันในเวียดนามแบบชิลๆ เพราะส่วนใหญ่ร้านอาหารและโรงแรมจะมีบริการไว-ไฟให้อยู่แล้ว

ยังไงก็ไปถึงสถานีรถไฟก่อนเวลารถออกสักหนึ่งชั่วโมง บอกแท็กซี่ว่าไป กา ฮานอย (Ga Hanoi) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากในย่านตัวเมือง ค่ามิเตอร์ไม่เกิน 6 หมื่นด่อง (90 บาท) ถ้าเกินกว่านี้แสดงว่าโดนโกงแน่ๆ
ที่ รับตั๋วรถไฟจะอยู่ด้านนอกอาคารต้องเอาใบจองไปยื่นเพื่อแลกตั๋ว ถึงเวลาก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งที่นอนได้เลย บนรถไฟมีที่ล้างหน้าแปรงฟัน มีห้องน้ำให้เข้าค่อนข้างสะดวกสบาย รีบเข้าก่อนใครจะได้ยังสะอาด (เราควบคุมคนอื่นไม่ได้อะนะ)
บนรถไฟอาจนอนไม่ค่อยหลับ ถึงแม้จะเป็นตู้นอนอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นตู้นอนไฮโซหรือโลโซของบริษัทไหนหากออกเวลาเดียวกันก็จะเป็นขบวนเดียวกันนั่นแหละ ต่อๆ กันไป มีโยก มีเบรกแบบไม่เกรงใจคนจะหลับจะนอนเล้ย แต่ก็พยายามนอนดูอาจจะหลับก็ได้ เพราะใช้เวลา 8-9 ชั่วโมงนู่นแน่ะกว่าจะถึง
จากลาวไคจะต้องนั่งรถขึ้นเขาไปอีกราว 1 ชั่วโมง จึงจะถึงซาปา โรงแรมส่วนใหญ่จะให้จองรถมารับ ตกคนละ 5 หมื่นด่อง (70 กว่าบาท) แต่ถ้าเดินมาทางซ้ายของสถานีสักพัก จะมีรถเมล์สีเหลืองแดง ติดแอร์อย่างดีออกทุกๆ ชั่วโมง ค่ารถคนละ 2.8 หมื่นด่อง (40 กว่าบาท) นั่งขึ้นไปกับคนท้องถิ่นเลย สนุกดี
รถเมล์จะไปจอดบริเวณสวนสาธารณะกลางเมือง ซึ่งจะเดินทางไปยังโรงแรมที่พักแต่ละแห่งได้ไม่ไกลมากสะดวกสบายดี
ซาปาทัวร์
แต่ละโรงแรมจะมีบริการทัวร์ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เหมือนกันทุกๆ แห่ง เพราะจะมารวมศูนย์อยู่ที่เอเยนต์ท้องถิ่นกลางเมือง
สำหรับคนที่ไปครั้งแรกแนะนำให้ลองซื้อทัวร์ชนิด 1 วัน เพื่อไปเดินชมวิถีชีวิตของชาวเขาซึ่งจะเดิน
ทั้งวันราว 10 กว่ากิโลเมตร แบบขึ้นเขาลงเขาให้เตรียมชุดทะมัดทะแมง และอย่าขนของหนักที่ไม่จำเป็นไป

รูปหัวใจแจกให้ระหว่างเดินทาง พอไปถึงที่พักกินข้าวกลางวันมักจะนำของมาขาย ถ้าชอบก็ช่วยซื้อหน่อย ไม่ชอบไม่ซื้อก็ได้
ส่วนใหญ่ไกด์จะทำหน้าที่พาเราเดินไปให้ถูกทางเท่านั้น ไม่ได้มาอธิบายอะไรให้ซีเรียสวุ่นวาย แต่เปิดโอกาสให้เดินชมทัศนียภาพขุนเขาสวยๆ ชมความเป็นอยู่ของชาวเขาแต่ละเผ่ามากกว่า เพราะฉะนั้นก็คล้ายๆ เราไปเดินเที่ยวเอง สามารถถ่ายภาพสวยๆ ระหว่างทางได้ตามสะดวก
ใครชอบปีนเขาแบบฮาร์ดคอร์ มีทัวร์แบบค้างแรมหนึ่งคืน เพื่อไปปีนพิชิตยอดเขาฟานสิแพน (Fansipan)
ยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเวียดนามด้วย ส่วนอีกทัวร์ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไปครั้งแรกก็คือ ไปเที่ยวตลาดบัคฮา (Bac Ha Market) ซึ่งเป็นตลาดเช้าวันอาทิตย์ที่ชาวเขา 7 เผ่าจะมารวมตัวกันขายของ
ยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเวียดนามด้วย ส่วนอีกทัวร์ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไปครั้งแรกก็คือ ไปเที่ยวตลาดบัคฮา (Bac Ha Market) ซึ่งเป็นตลาดเช้าวันอาทิตย์ที่ชาวเขา 7 เผ่าจะมารวมตัวกันขายของ
แม้หน้าตาจะไม่เหมือนที่จินตนาการไว้ ว่าจะต้องมีสาวๆ แต่งชุดชาวเขามาขายของแบบสีสันคัลเลอร์ฟูล
เต็มตลาด แต่เหมือนตลาดธรรมดาๆ นั่นแหละแต่ใครชอบช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองก็ซื้อได้ที่นี่ราคาต่อรองได้ ถ้าต่อแล้วไม่ให้ก็เดินหนีเดี๋ยวก็ตามมาลดให้เอง
เต็มตลาด แต่เหมือนตลาดธรรมดาๆ นั่นแหละแต่ใครชอบช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองก็ซื้อได้ที่นี่ราคาต่อรองได้ ถ้าต่อแล้วไม่ให้ก็เดินหนีเดี๋ยวก็ตามมาลดให้เอง
ในตลาดยังมีของบ้านๆ ที่ทั้งน่ากินและน่ากลัว เช่นว่า ซาลาเปา ข้าวเกรียบปากหม้อ เหล้าดองงู และอีกมาก


คนที่มาแล้วหลายครั้ง เที่ยวทัวร์ซาปามาแล้วหลายทัวร์ แค่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ แถวถนนฟานสิแพน หรือถามเขาก็ได้ว่า กั๊ตกั๊ตวิลเลจ (Cat Cat Village) ไปทางไหน นั่นแหละสุดยอดแห่งพาโนรามาวิว
มาที่นี่ต้อง เดิน เดิน และเดิน หรือชื่นชอบการขี่จักรยาน บิดมอเตอร์ไซค์ ก็เป็นอีกรูปแบบการเที่ยวที่นิยมเช่นเดียวกัน
ระหว่างทางไปกั๊ตกั๊ตวิลเลจ มีทั้งร้านค้าให้ช็อปสินค้าชาวเขาแบบแฮนด์เมด ร้านอาหารแบบเพิง ไปจนถึงอาหารหรูหรา ร้านกาแฟริมเขา ฯลฯ เดินเหนื่อยก็พักจิบกาแฟและชิมขนม ค่อยเดินชมทัศนียภาพต่อ ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี (หนาวนิดหน่อยตอนปลายปีต่อต้นปี)
นี่แหละเรียบๆ ง่ายๆ แบบซาปาที่มาแล้วก็อยากมาอีกบ่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น