วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ซาปา เวียดนาม สวรรค์ของชาวแบ็กแพ็ก

จุดหมายปลายทางสำคัญที่นักท่องเที่ยวแนวแบ็กแพ็กต้องไป เมืองซาปา ยอดเขาที่เต็มไปด้วยผืนนาขั้นบันได อยู่ในอำเภอลาวไค (Laocai) ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ติดชายแดนประเทศจีน
ซาปา เป็นเมืองหน้าด่านของจังหวัดลาวไค 

ก่อนหน้านี้ไม่มี ใครรู้ว่าคนกลุ่มไหนอาศัยอยู่ ทว่า ราวศตวรรษที่ 15 ชาวเขาเผ่าต่างๆ ตั้งแต่ม้ง เย้า เฝอลู่ ฯลฯ เข้ามาจับจองพื้นที่ กระทั่งศตวรรษที่ 19 เริ่มมีบาทหลวงและกองทัพฝรั่งเศสเข้ามาทางตอนใต้ของประเทศจีน และรุกล้ำเข้ามาบริเวณตอนเหนือของเวียดนามแห่งนี้ เมื่อขึ้นมาเจอกับอากาศและธรรมชาติของ ซาปา ชาวฝรั่งเศสเห็นว่าน่าจะเหมาะสำหรับการเป็นสถานที่พักฟื้นสำหรับคนป่วย โดยเริ่มมีการสร้างวิลล่าสำหรับเศรษฐีที่เข้ามาจับจองพื้นที่กันอย่างถาวร

สงครามโลกครั้งที่ 2 ของที่นี่ดูยาวนาน หลังจากที่ยุโรปจบสิ้นในปี 1945 ที่นี่ลากยาวไปถึง 1954 (สงครามอินโดจีน 1) วิลล่าหรูถูกทำลายโดยเวียดมินห์ ฝรั่งเศสแพ้ม้วนเสื่อกลับบ้าน คนท้องถิ่นเองก็ไม่มีใครอยู่ได้ เมืองซาปาหลับไหลไปในสงครามอินโดจีนอีก 2 ครั้ง (กับสหรัฐ 1950-1975 และจีน 1979) ก่อนจะเปิดตัวเพื่อการท่องเที่ยวเมื่อปี 1993

จุดดึงดูดของซาปา นอกจากทิวทัศน์ของขุนเขาอันงดงาม เต็มไปด้วยผืนนาขั้นบันไดแล้ว ด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี ถ้ามาช่วงฤดูหนาวอาจโชคดีได้เจอหิมะตกทั้งที่ใกล้เมืองไทยแค่นี้ ว่ากันว่า ถ้าจะให้ดีควรมาเที่ยวในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. เพราะอากาศกำลังเหมาะ ไม่หนาวเกินไป แถมยังจะได้เห็นนาขั้นบันไดเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปทั่ว เพราะว่าข้าวกำลังออกรวง

เรียกว่า หากใครยังไม่เคยไปก็ควรไปลองสัมผัสประสบการณ์ทั้งสองบรรยากาศ คือ หน้าหนาวที่วันหนึ่งมีประมาณ 4 ฤดูเห็นจะได้ เดี๋ยวฟ้าใส เดี๋ยวหมอกลง เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก ขณะที่เมื่อเข้าฤดูร้อนอาจจะเหลือสัก 3 ฤดู ทั้งได้ชื่นชมนาข้าวสีทองเป็นของแถม

เตรียมตัวเดินทาง

การเดินทางไปซาปาไม่ยาก เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบินไปลงที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ซึ่งมีทั้งสายการบินโลว์คอสต์อย่าง แอร์เอเชีย เจ็ตสตาร์แอร์เวย์ส แต่ลองเช็กดูในเว็บอย่าง expedia.co.th ดู อาจได้บินกับสายการบินระดับ 5 ดาว ในราคาพอๆ กับโลว์คอสต์ เช่น กาตาร์แอร์เวย์ส หรือแอร์ฟรานซ์ ก็มีราคาดีเป็นช่วงๆ (จองล่วงหน้านานๆ ย่อมถูกกว่า

ทิปส์ในการจองตั๋วเครื่องบินที่หลายคนอาจรู้แล้ว แต่บอกเอาไว้อีกหน่อยคือ พอเช็กราคาจากเว็บไซต์ที่ให้บริการรวบรวม cheap flights อย่างเช่น expedia.co.th, skyscanner.net, th.edreams.com, cheapflights.com ฯลฯ แล้วอย่าลืมเข้าไปเช็กใน official เว็บไซต์ของสายการบินที่เราเลือกจะจองด้วย อาจได้ราคาถูกกว่า

หลังจองตั๋วเครื่องบิน ก็ต้องจองตั๋วรถไฟไปพร้อมกันด้วย ที่ www.hanoisapatrain.com แล้วก็เลือกรถไฟแบบที่ใช่ เวลาที่ถนัด (เช่นเดินทางสามทุ่มถึงหกโมงเช้า หรือเดินทางสองทุ่มถึงตีห้า อะไรทำนองนี้) ในราคาที่ชอบได้เลย (ควรจองล่วงหน้า เดี๋ยวเต็มนะจะบอกให้) ตั๋วปกติแต่ละห้องจะมีเตียง 2 ชั้นที่นอนได้ 4 คน ถ้าไปเที่ยว 4 คนก็ลงตัวแต่ถ้าน้อยหรือเกินกว่านี้ก็ต้องแชร์ห้องนอนบนรถไฟร่วมกับคนอื่น ขณะที่ตั๋ววีไอพี ห้องหนึ่งมีแค่ 2 เตียง แต่ราคาก็แพงเป็นเท่าตัว ชื่นชอบแบบไหน มีทุนทรัพย์ประมาณใด เลือกตามใจได้เลย

มาถึงเรื่องที่พัก จะจองไปล่วงหน้าก็สะดวกดีจะได้ไม่ต้องเดินหา เพราะภูมิประเทศของซาปาเป็นภูเขา
อาจต้องปีนบันไดกันจนประชุมอาเจี้ยนทีเดียว (อิอิ) ถ้าใครชอบวิวที่สูงสวยๆ แนะนำให้จองโรงแรมบนถนน Hoang Dieuซึ่งจะต้องปีนบันไดแคบๆ ขึ้นไปนิดนึง แต่ว่าถ้าได้เข้าพักก็คุ้มค่ากับวิวของเมืองซาปา แถวๆ นี้ก็มีโรงแรม Sapa Elite Hotel, Sapa Panorama Hotel, Fansipan Mountain View ฯลฯ

ใครชื่นชอบการเข้าพักในเมืองใกล้ๆ ย่านอาหารการกิน ที่เที่ยว และแหล่งช็อปปิ้ง ต้องไปพักแถวถนน Cau May กับถนน Fansipan แถวนี้โรงแรมมากมายนับไม่ถ้วนเลยล่ะ

คนไทยมักชอบไปพักกันที่ Sapa Summit Hotel ราคาไม่แพง วิวสวยทีเดียวล่ะแถวนั้น ติดว่ามันอออกจะเก่าไปหน่อย ลองหาใกล้ๆ กัน เห็นมีสร้างใหม่หลายแห่งทีเดียว

ไปกันเลยดีกว่า

มีตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถไฟ ที่พักก็จองแล้วจะช้าอยู่ไย หลังแลนดิ้งที่เมืองฮานอยแล้ว ถ้านั่งแท็กซี่เข้าเมืองราคาจะประมาณ 20-30 เหรียญสหรัฐ แต่นักเดินทางประหยัดๆ ออกจากสนามบินแล้วเลี้ยวขวาไปนั่งรถเมล์ (คนละ 5,000 ด่อง ประมาณ 8 บาท) หรือรถตู้ (คนละ 2 เหรียญสหรัฐ) รถจะไปจอดแถวๆ ย่านทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ซึ่งสำหรับคนที่ต้องไปจ่ายค่ารถไฟ (ที่จองในเว็บเก็บไปเฉพาะค่ามัดจำ) ออฟฟิศของบริษัทขายตั๋วก็อยู่แถวๆ บริเวณนี้แหละ

สำหรับคนต้องการจะซื้อซิมโทรศัพท์ เข้าไปซื้อร้านในเมืองจะถูกกว่า บอกว่าใช้สำหรับอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวสัก 1 แสนด่อง (150 กว่าบาท) ก็อยู่ได้ 5 วันในเวียดนามแบบชิลๆ เพราะส่วนใหญ่ร้านอาหารและโรงแรมจะมีบริการไว-ไฟให้อยู่แล้ว

ระหว่างรอรถไฟตอนดึก หลายคนมักจะไปเปิดโรงแรมเพื่อนอนพักผ่อน และอาบน้ำก่อนไปนอนบนรถไฟ แต่ต้องดูเวลา ถ้าบินไปถึงก่อนเที่ยงก็อาจจะคุ้ม แต่ถ้าไปถึงช่วงบ่ายก็ไปนั่งชิลตามร้านกาแฟเก๋ๆ ในโอลด์ควอเตอร์ของฮานอยรอเวลาก็ได้

ยังไงก็ไปถึงสถานีรถไฟก่อนเวลารถออกสักหนึ่งชั่วโมง บอกแท็กซี่ว่าไป กา ฮานอย (Ga Hanoi) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากในย่านตัวเมือง ค่ามิเตอร์ไม่เกิน 6 หมื่นด่อง (90 บาท) ถ้าเกินกว่านี้แสดงว่าโดนโกงแน่ๆ
ที่ รับตั๋วรถไฟจะอยู่ด้านนอกอาคารต้องเอาใบจองไปยื่นเพื่อแลกตั๋ว ถึงเวลาก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งที่นอนได้เลย บนรถไฟมีที่ล้างหน้าแปรงฟัน มีห้องน้ำให้เข้าค่อนข้างสะดวกสบาย รีบเข้าก่อนใครจะได้ยังสะอาด (เราควบคุมคนอื่นไม่ได้อะนะ)

บนรถไฟอาจนอนไม่ค่อยหลับ ถึงแม้จะเป็นตู้นอนอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นตู้นอนไฮโซหรือโลโซของบริษัทไหนหากออกเวลาเดียวกันก็จะเป็นขบวนเดียวกันนั่นแหละ ต่อๆ กันไป มีโยก มีเบรกแบบไม่เกรงใจคนจะหลับจะนอนเล้ย แต่ก็พยายามนอนดูอาจจะหลับก็ได้ เพราะใช้เวลา 8-9 ชั่วโมงนู่นแน่ะกว่าจะถึง

รถไฟจะไปจอดที่ กา ลาวไค (Ga Laocai) ไม่ต้องกลัวหลง หรือกลัวไม่ตื่น เพราะเป็นสถานีปลายทางและเจ้าหน้าที่บนรถไฟจะมาเปิดไฟสว่างโร่ (พร้อมเคาะประตูตึงตัง) ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงจุดหมายกันเลยทีเดียว

จากลาวไคจะต้องนั่งรถขึ้นเขาไปอีกราว 1 ชั่วโมง จึงจะถึงซาปา โรงแรมส่วนใหญ่จะให้จองรถมารับ ตกคนละ 5 หมื่นด่อง (70 กว่าบาท) แต่ถ้าเดินมาทางซ้ายของสถานีสักพัก จะมีรถเมล์สีเหลืองแดง ติดแอร์อย่างดีออกทุกๆ ชั่วโมง ค่ารถคนละ 2.8 หมื่นด่อง (40 กว่าบาท) นั่งขึ้นไปกับคนท้องถิ่นเลย สนุกดี
รถเมล์จะไปจอดบริเวณสวนสาธารณะกลางเมือง ซึ่งจะเดินทางไปยังโรงแรมที่พักแต่ละแห่งได้ไม่ไกลมากสะดวกสบายดี

ซาปาทัวร์

แต่ละโรงแรมจะมีบริการทัวร์ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เหมือนกันทุกๆ แห่ง เพราะจะมารวมศูนย์อยู่ที่เอเยนต์ท้องถิ่นกลางเมือง

สำหรับคนที่ไปครั้งแรกแนะนำให้ลองซื้อทัวร์ชนิด 1 วัน เพื่อไปเดินชมวิถีชีวิตของชาวเขาซึ่งจะเดิน
ทั้งวันราว 10 กว่ากิโลเมตร แบบขึ้นเขาลงเขาให้เตรียมชุดทะมัดทะแมง และอย่าขนของหนักที่ไม่จำเป็นไป

ทัวร์แบบนี้จะมีไกด์ทัวร์เป็นชาวเขาแท้ๆ ที่จะมีเพื่อนชาวเขามาร่วมเดินไปพร้อมกับคณะทัวร์เต็มไปหมดระหว่างเดินเข้าหมู่บ้านชาวม้งดำ ลาวไช ตาวาน ฯลฯ ชาวเขาเหล่านี้อาจจะเด็ดดอกหญ้ามาถักร้อยเป็น
รูปหัวใจแจกให้ระหว่างเดินทาง พอไปถึงที่พักกินข้าวกลางวันมักจะนำของมาขาย ถ้าชอบก็ช่วยซื้อหน่อย ไม่ชอบไม่ซื้อก็ได้

ส่วนใหญ่ไกด์จะทำหน้าที่พาเราเดินไปให้ถูกทางเท่านั้น ไม่ได้มาอธิบายอะไรให้ซีเรียสวุ่นวาย แต่เปิดโอกาสให้เดินชมทัศนียภาพขุนเขาสวยๆ ชมความเป็นอยู่ของชาวเขาแต่ละเผ่ามากกว่า เพราะฉะนั้นก็คล้ายๆ เราไปเดินเที่ยวเอง สามารถถ่ายภาพสวยๆ ระหว่างทางได้ตามสะดวก

ใครชอบปีนเขาแบบฮาร์ดคอร์ มีทัวร์แบบค้างแรมหนึ่งคืน เพื่อไปปีนพิชิตยอดเขาฟานสิแพน (Fansipan)
ยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเวียดนามด้วย ส่วนอีกทัวร์ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไปครั้งแรกก็คือ ไปเที่ยวตลาดบัคฮา (Bac Ha Market) ซึ่งเป็นตลาดเช้าวันอาทิตย์ที่ชาวเขา 7 เผ่าจะมารวมตัวกันขายของ

แม้หน้าตาจะไม่เหมือนที่จินตนาการไว้ ว่าจะต้องมีสาวๆ แต่งชุดชาวเขามาขายของแบบสีสันคัลเลอร์ฟูล
เต็มตลาด แต่เหมือนตลาดธรรมดาๆ นั่นแหละแต่ใครชอบช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองก็ซื้อได้ที่นี่ราคาต่อรองได้ ถ้าต่อแล้วไม่ให้ก็เดินหนีเดี๋ยวก็ตามมาลดให้เอง

ในตลาดยังมีของบ้านๆ ที่ทั้งน่ากินและน่ากลัว เช่นว่า ซาลาเปา ข้าวเกรียบปากหม้อ เหล้าดองงู และอีกมาก 

ข้อควรระวัง ถ้าอยากจะลองนั่งจิบกาแฟในตลาด เห็นแม่ค้าหน้าใสๆ ก็อย่าไปเชื่อใจเขาจะเทอะไรมาให้อย่าไปรับเพราะทุกสิ่งคือเงิน กาแฟต้องสั่งว่าจะซื้อขนาดไหน ราคาเท่าไหร่ ไม่งั้นน้องหนูจะชงขนาดใหญ่สุด พร้อมเทสแน็กแกล้มกาแฟให้พร้อม พอเช็กบิลออกมา อู้หู...แพงกว่าราคาในโรงแรมหรูของซาปาเสียอีกแน่ะ (พูดแล้วยังเคืองไม่หาย โดนชาวเขาหลอก)

หลังอาหารกลางวันที่ตลาด ทัวร์จะพาไปดูหมู่บ้านม้ง อันนี้น่าสนใจที่พาเข้าไปเดินดูถึงในบ้านที่เก็บอาหาร ห้องครัว ห้องต้มเหล้า ฯลฯ แบบทะลุปรุโปร่ง ก่อนจะพาไปเที่ยวแถวๆ ชายแดนที่ติดกับประเทศจีน แล้วก็ได้เวลากลับเข้าเมืองซาปา

คนที่มาแล้วหลายครั้ง เที่ยวทัวร์ซาปามาแล้วหลายทัวร์ แค่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ แถวถนนฟานสิแพน หรือถามเขาก็ได้ว่า กั๊ตกั๊ตวิลเลจ (Cat Cat Village) ไปทางไหน นั่นแหละสุดยอดแห่งพาโนรามาวิว
มาที่นี่ต้อง เดิน เดิน และเดิน หรือชื่นชอบการขี่จักรยาน บิดมอเตอร์ไซค์ ก็เป็นอีกรูปแบบการเที่ยวที่นิยมเช่นเดียวกัน

ระหว่างทางไปกั๊ตกั๊ตวิลเลจ มีทั้งร้านค้าให้ช็อปสินค้าชาวเขาแบบแฮนด์เมด ร้านอาหารแบบเพิง ไปจนถึงอาหารหรูหรา ร้านกาแฟริมเขา ฯลฯ เดินเหนื่อยก็พักจิบกาแฟและชิมขนม ค่อยเดินชมทัศนียภาพต่อ ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี (หนาวนิดหน่อยตอนปลายปีต่อต้นปี)


นี่แหละเรียบๆ ง่ายๆ แบบซาปาที่มาแล้วก็อยากมาอีกบ่อยๆ 

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Venice in Pictures

มาถึงที่นี่จึงเข้าใจ ทำไมศิลปินทั้งหลาย โดยเฉพาะ โจเซฟ มอลลาร์ด วิลเลี่ยมส์ เทอร์เนอร์ ถึงได้ถ่ายทอดศิลปะเช่นนั้นผ่านปลายพู่กัน

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

!Hola Granada… Welcome to the Hills of Strangers







กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว อินเทรนด์มาได้พักใหญ่ สำหรับจุดหมายปลายทางในยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ที่ชื่อว่า สเปน ประเทศที่ร่ำลือกันว่า เต็มไปด้วยหนุ่มหล่อและสาวสวยเซ็กซี่

ชื่อเมืองอย่าง มาดริด บาร์เซโลน่า หรือเซบีญ่า อาจเป็นที่คุ้นหูกันดี และเป็นสถานที่ที่ไม่น่าพลาดหากไปเยือนแดนดินถิ่นกระทิง (ดุ) แต่ถ้าถามว่าไปมาแล้วประทับใจเมืองไหนมากที่สุด ก็ต้องตอบเสียงดังๆ ว่าเป็น กรานาดา เมืองอุปราชของแคว้นอันดาลูเซีย ทางตอนใต้ของประเทศสเปน

เจ้าของโอ๊สตาล (hostal) ที่พักกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัวว่า กรานาดา เป็นเพียงเมืองเล็กๆ กระนั้นเมืองเล็กน่ารักเมืองนี้ก็เป็นเมืองเก่าแก่อันเป็นที่ตั้งของมรดกโลก อย่าง อะลัห์มบรา (Alhambra) พระราชวังสีแดง มรดกตกทอดจากเมื่อครั้งแขกมัวร์ปกครองดินแดนแห่งนี้ และเป็นอลังการงานสร้างที่ทำให้กรานาดามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ในฐานะสถานที่ตั้งของมรดกโลกยูเนสโก ที่เข้ารอบสุดท้ายในการโหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ เมื่อปี 2007 ที่ผ่านมา

กรานาดา ผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรมเอาไว้อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าที่อื่นใดในสเปน ร่องรอยของแขกมัวร์ หรือวัฒนธรรมแบบมุสลิมอาจปรากฏชัดที่สุด ด้วยพระราชวังมรดกโลกอันเป็นประจักษ์หลักฐานอันยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับโบสถ์คริสต์ที่กลายเป็นศาสนาประจำชาติในกาลต่อมา ขณะที่ศาสนายิวซึ่งเคยครอบครองหลายเมืองในสเปนมาก่อนหน้าใครๆ ก็มิได้ถูกลบออกไปจากวิถีแห่งกรานาดาแต่อย่างใด

กรานาดาคล้ายเมืองเล็กในนิทานอันมีความเป็นมายาวนานนับศตวรรษ ในฐานะที่เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองมาก่อน เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงมิได้ทิ้งอดีตเอาไว้เป็นเพียงเวลาผันผ่าน หรือเพียงอวดอ้างตราสัญลักษณ์รูปพญาอินทรีย์อันเก่าแก่ หรือเป็นที่ที่สมเด็จพระราชินีอิซาเบลลาผู้ยิ่งยงเลือกที่จะมาฝังพระวรกายเอาไว้เท่านั้น

หาก ณ วันนี้ ยังคงมีความสำคัญทางด้านการทหารและการปกครองของแคว้นอันดาลูเซีย อาจด้วยเพราะเป็นหน้าด่านสู่แอฟริกาเหนือนั่นเองที่ทำให้กรานาดาอยู่ในฐานะเมืองหลวงทางด้านการปกครองของแคว้น เนื่องเพราะเป็นประตูสู่แอฟริกาเหนือ ทั้งเป็นยุทธภูมิที่ดีเหนือช่องแคบยิบรอลตา ขณะที่เซบีญ่า เมืองหลวงอันดาลูเซียตัวจริง เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ (เพราะอยู่ติดเมืองท่าอย่าง ม้าลากา (Malaga)

สำหรับชื่อกรานาดานั้น มีหลากหลายที่มา สันนิษฐานแรกเชื่อว่า มาจากภาษาสเปนที่แปลว่า ทับทิม ซึ่งผลไม้ชนิดนี้มีมากมายในท้องถิ่น และยังปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานในตราสัญลักษณ์ประจำเมืองด้วย

ขณะที่อีกข้อหนึ่งก็บอกว่า เรื่องทับทิมเป็นความเข้าใจไปเองและนำเข้ามาใส่ไว้ในตราสัญลักษณ์ประจำเมืองในตอนหลัง จริงๆ แล้ว ชื่อเมืองนี้น่าจะมาจากภาษาแขกอาหรับ ว่า การ์นาตาห์ (Gharnatah) ซึ่งหมายถึง “ขุนเขาของคนแปลกหน้า” ข้อสันนิษฐานนี้น่าเชื่อถือมากกว่า เพราะตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 นั้น กรานาดาเป็นแดนดินถิ่นเดียว (และมีภูมิประเทศเป็นเชิงเขา) ที่นับถือศาสนาอิสลาม ขณะที่รอบข้างนั้นเป็นคริสเตียนกันหมด

ก่อนที่ฝ่ายคริสเตียนของสเปนจะยึดครองกรานาดาไว้ได้ ในสมัยของสมเด็จพระราชินีอิซาเบลลา ที่ 1 (Isabella I) พระองค์เดียวกับที่โปรดเกล้าฯ ให้ โคลัมบัส หรือที่ชาวสเปนเรียกว่า โกลอน (Colon) ให้ไปสำรวจหาทวีปเอเชีย (อินเดีย) แต่กลับไปพบดินแดนใหม่ อย่าง อเมริกานั่นเอง

ก่อนหน้านี้ กรานาดาเต็มไปด้วยคนพื้นเมืองที่เรียกตัวเองว่า อิลไบร์ (Ilbyr) ก่อนจะโดนชาวโรมันเข้ามายึดครอง ตั้งเป็นเมืองชื่ออิลลิบริส (Illibris) กระทั่งชาวอาหรับเข้ามาครอบครองได้สำเร็จ จึงเป็นกำเนิดของนาม กรานาดา ซึ่งรุ่งเรืองมากในสมัยของราชวงศ์นาซารี ในศตวรรษที่ 14 อันมีหลักฐานเป็นพระราชวังสีแดงซึ่งเป็นมรดกโลก อย่าง อะลัห์มบรา

การเดินทางไปกรานาดาไปได้หลายทาง หากเริ่มต้นจากมาดริดหรือบาร์เซโลนา เมืองใหญ่ 2 เมืองในสเปน ซึ่งมีเครื่องบินจากบ้านเราไปถึง ก็อาจจะต้องเดินทางไกลสักหน่อย ซึ่งสามารถทำได้ทั้งทางรถบัสและรถไฟ คนส่วนใหญ่นิยมเดินทางทางรถไฟมากกว่า เหตุเพราะเป็นขนส่งมวลชนที่ดีที่สุดในสเปน

ขอแนะนำการเดินทางโดยรถไฟกลางคืน หรือ Tren Hotel ที่จะประหยัดที่พักไปหนึ่งคืน แต่กระนั้นต้องวางแผนล่วงหน้า โดยเฉพาะคนไม่รู้ภาษาสเปนอาจมีปัญหาในการไปซื้อตั๋วที่สถานี (เข้าไปจอง Tren Hotel ก่อนที่ http://www.renfe.es/horarios/english/index.html) รถไฟที่นี่ จะใกล้จะไกลก็จะมีเลาจน์สำหรับให้คนไปดื่มไปกินกันให้สำราญใจ

ที่พัก ร้านอาหาร และแหล่งช็อปปิ้งในกรานาดาส่วนใหญ่จะตั้งอยู่แถวๆ ถนนกรานเบีย (Gran Via) หาถนนนี้เจอรับรองได้ว่าไม่มีหลงทางแน่ เพราะจะเป็นช่องทางที่เชื่อมไปยังถนนสายย่อยๆ หรือ กาล์เย่ (calle) ทั้งหลายในย่านกลางเมือง

ถนนกรานเบีย (ย่อมาจาก กรานเบีย เด โกลอน) ประดับเอาไว้อย่างเก๋ไก๋ด้วยโคมไฟสมัยใหม่ตลอดสาย ป้ายบอกชื่อถนนที่นี่ก็เก๋ไม่แพ้กัน โดยไม่มีเสาตั้งขึ้นมาให้รกหูรกตารกที่รกทาง ทว่าเป็นการสลักชื่อกาล์เย่ย่อยๆ ลงบนถนนเลย (สังเกตว่าที่เมืองอื่นๆ จะติดชื่อถนนไว้ตามมุมตึก) เพราะฉะนั้น หากจะมองหาถนนใดๆ นั้น ต้องก้มมองที่พื้นเอา และยากที่จะมองเห็นจากฝั่งตรงกันข้าม

กรานเบียถือเป็นย่านศูนย์กลาง นอกจากห้างดังของสเปนที่มีอยู่ทุกเมือง อย่าง El Corte Inglés (หมายถึง การแต่งตัวสไตล์คนอังกฤษ) ที่มักจะมีเสื้อผ้าแบรนด์เนมรวมตัวกันอยู่แล้ว ธุรกิจที่มีมากที่สุดที่นี่เห็นจะเป็นรองเท้า ที่หายใจสามสี่ทีก็เดินไปเจอร้านรองเท้าอีกแล้ว ซึ่งรูปแบบและราคาก็น่าช็อปเป็นที่สุด (ถ้ามีแรงแบกไหว)

ย่านใจกลางเมืองบริเวณนี้ ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ดื่มกิน อาจจะไม่เป็นอาหารของนักท่องเที่ยวจ๋า เป็นต้นว่า ทาปาส (tapas) ข้าวผัดปาเอลย่า (paella) แต่เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างเป็นกิจจะลักษณะหน่อย ตั้งแต่ร้านอาหารอิตาเลียน เมดิเตอร์เรเนียน อะไรประมาณนั้น

ผู้ประสงค์กินอยู่อย่างประหยัด มีอาหารง่ายๆ อย่าง พิซซาสไตล์สเปน (รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดพออิ่ม) ให้บริการตามร้านเบเกอรีและร้านกาแฟ ขณะที่ร้านขายอาหารแนวมุสลิมและยิว เช่น เคบับ ฟาราเฟล หรือไก่ย่างเป็นตัวๆ ก็มีให้เห็นตามตรอกซอกซอยที่แยกย่อยเข้าไปสู่ย่านช็อปของเก๋ๆ แนวยิปซี

ก่อนจะหนีไปไกลจากถนนกรานเบีย ต้องแวะไปเยี่ยมชมโบสถ์คริสต์ หรือ กาเตดรัล (Catedral) ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกที่คริสเตียนขึ้นมาเรืองอำนาจ ที่นี่เองเป็นที่ฝังพระศพของพระราชินีอิซาเบลลา ที่ 1 รวมทั้ง ผู้สืบบัลลังก์สเปนต่อจากพระนาง อย่าง พระเจ้าฟิลิป ที่ 1 หรือผู้มีพระสมัญญานามว่า “ฟิลิป เดอะ แฮนด์ซัม” (Philip the Handsome) ต้องเข้าไปชมกันเองว่า จะหล่อขนาดไหน

ในกาเตดรัลยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาคริสต์จำนวนมากเอาไว้ให้คุ้มค่าเข้าชม 3.5 ยูโรอีกด้วย งานศิลปะย้อนไปถึงยุคที่ยังวาดสีน้ำมันลงบนแผ่นไม้กันเลยทีเดียว

ย่านกาเตดรัลยังมีแหล่งช็อปปิ้งมากมาย ส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึกไว้ซื้อฝากเพื่อนฝูงที่ไม่ได้ร่วมทริปมาด้วย ตั้งแต่ เสื้อยืด โปสการ์ด แก้ว ธง กระเป๋าพิมพ์ลายชื่อเมืองกรานาดา ฯลฯ แต่ถ้าต้องการจะช็อปของเก๋แนวยิปซีและแขกมัวร์ต้องย้ายวิกไปเดินลัดเลาะถนนที่เป็นคู่ขนานกับกรานเบีย

บริเวณนี้เรียกว่า ย่านอัลไบซิน (Albaicin) เป็นย่านเก่าแก่ลักษณะเป็นเชิงเขา ที่สมัยก่อนนั้นเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิว บางคนเชื่อว่า อัลไบซิน แปลว่า ที่อยู่อาศัยของคนฝึกเหยี่ยว ทว่า นักประวัติศาสตร์ออกมาแย้งว่า น่าจะหมายถึง ย่านอาศัยของชาวบาเอซา (Baeza) มากกว่า

ย้อนไปในสมัยที่คริสเตียนเริ่มเรืองอำนาจ ชาวมัวร์ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามถูกบีบให้ออกจากเมืองบาเอซา ใกล้ๆ กับเมืองฆาเอน (Jaen) มาอยู่ที่นี่ แล้วก็ก่อร่างสร้างเมือง ณ เชิงเขา ซึ่งสามารถมองเห็นพระราชวังสีแดง หรือ อะลัห์บรา บนยอดเขาเซียร์รา เนบาดา (Sierra Nevada) ได้อย่างชัดเจน

หลายๆ คนแปลกใจว่า เหตุใดในย่านมุสลิมจึงเต็มไปด้วยโบสถ์คริสต์ ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ซานมิเกล บาโฆ (San Miguel Bajo) หรือโบสถ์ซานนิโกลาส (San Nicolás) ฯลฯ นั่นคือการแสดงแสนยานุภาพเหนือผู้ที่ถูกปกครอง โดยมีเรื่องเล่าว่า โบสถ์เหล่านี้สร้างจากงบประมาณที่จริงๆ แล้วต้องนำไปสร้างมัสยิดของแขกมัวร์ด้วยซ้ำไป – แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวของอดีตกาลนานมาแล้ว ต่างจากปัจจุบันที่การผสมผสานทางวัฒนธรรมได้กลายเป็นเสน่ห์ของย่านอัลไบซินไป

ใครมากรานาดา ก่อนที่จะไปเยี่ยมชมอัครสถาน อย่าง อะลัห์มบรา ต้องมา “พรีวิว” พระราชวังสีแดงแห่งราชวงศ์นาซารีที่ย่านนี้ก่อน ทางเดินที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวเช่นเขาวงกต ไม่น่าอายที่จะหลง! เพราะจะเป็นการเดินชมบ้านเรือนที่งดงาม โดยเฉพาะช่วงก่อนฤดูร้อนเล็กน้อย ซึ่งอากาศยังไม่ร้อนจัด แต่เริ่มมีแสงแดดจ้า ฟ้าใสๆ ตัดกับบ้านเรือนสีขาวงดงามราวหมู่บ้านในนิทาน

เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า แบบยิปซีมีให้ช็อปแทบจะตลอดทางในย่านนี้ รวมทั้งจุดชมวิว (อะลัห์มบรา) อีก 2-3 แห่ง ที่จะมีร้านขายเครื่องดื่มเย็นๆ มีนักดนตรีอิสระมาแจมเพลงเปิดหมวกกันอย่างสุขสันต์หรรษา

คนที่วางแผนว่าจะไปเที่ยวอะลัห์มบราก่อน แล้วค่อยมาเดินทอดน่องแถวอัลไบซิน ควรคิดเสียใหม่ให้อัลไบซินเป็นพรีวิว 1 วัน ก่อนเยี่ยมชมพระราชวังเลื่องชื่อในวันถัดไปจะเหมาะกว่า เพราะว่าทั้ง 2 แห่งนั้นต้องอาศัยเวลาในการเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน (ควรเตรียมรองเท้าที่สวมสบาย)

โดยเฉพาะพระราชวังบนขุนเขาของคนแปลกหน้า นามว่า เซียร์รา เนบาดา (Sierra Nevada) นั้น กว้างขวางตลอดขุนเขาเชียวล่ะ นอกจากอลังการงานสร้างของพระราชวังหลักของราชวงศ์นาซารี (Palace of Charles V) ที่เต็มไปด้วยลวดลายสลักเสลา ไปพร้อมๆ กับถ้อยคำมงคลจากพระคัมภีร์อัลกุระอ่านอย่างวิจิตรงดงามแล้ว ในบริเวณอันกว้างขวางนั้น ยังประกอบด้วยอาคารที่โชว์สถาปัตยกรรมการก่อสร้างแห่งยุค อย่าง เจเนราลลิเฟ (Generalife) ที่อยู่คู่กับสวนสวยแบบสเปน อันมีองค์ประกอบสำคัญเป็นน้ำพุงามกลางสวน ยังมี ป้อมปราการขนาดใหญ่ (Alcazaba) ที่จะมองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบของเมืองเล็กในนิทานแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

หากมีแผนจะไปเยือนกรานาดา และต้องไม่พลาดไปเที่ยวอะลัห์มบรา ควรจองตั๋วล่วงหน้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตไปให้เรียบร้อย (http://www.alhambra.org/eng/index.asp?secc=/inicio) ไปเช่นนั้นคุณอาจต้องไปยืนเข้าแถวรอคิวกันตั้งแต่เช้า และอาจเสียเวลาถึง 2 ชั่วโมงก็เป็นได้ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่น่าไปเยือน คือ ปลายๆ ของฤดูหนาวก่อนจะเข้าซัมเมอร์ แม้ตอนเช้าๆ จะหนาวเหน็บสักหน่อย แต่พอได้ออกกำลังเดินชมพระราชวังซึ่งกินเนื้อที่เกือบทั้งภูเขา ก็ทำให้หายหนาวเป็นปลิดทิ้ง

ในตั๋วเข้าเยี่ยมชม จะมีเวลากำกับเอาไว้ นั้นหมายถึงเวลาที่ต้องไปเข้าชมส่วนพระราชวังหลัก หรือ พาเลซ ออฟ ชาร์ลส์ ที่ 5 ที่ต้องไปให้ตรงเวลา ดังนั้นควรวางแผนในการชมส่วนอื่นๆ ให้ดี โดยเฉพาะการไปชมเจเนราลลิเฟกับสวนสเปน ซึ่งค่อนข้างต้องใช้เวลามากสักนิด

ตั๋วแบ่งเป็นช่วงเช้ากับช่วงค่ำ ถ้าไม่รีบไปไหนลองจองตั๋วช่วงค่ำ เพราะจะได้ไปนั่งชมน้ำพุเริงระบำบริเวณเจเนราลลิเฟ เป็นการปิดท้ายวันให้นอนหลับฝันดี

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Dear Khun Loong Alcazaba...




ถึงคุณลุงแห่งโอ๊สตาล อัลคาซาบา ณ เมืองกรานาดา

ลุงได้สร้างความประทับจิตประทับใจให้พวกเราม๊าก-มาก แม้เราจะเจอกับนางยักษ์ที่อินฟอร์เมชั่นเคาน์เตอร์ของการ "เรนเฟ" (รถไฟ) แห่งประเทศสเปน เกือบจะรับประทานศีรษะมา เพราะดัน-ดั๊น-ดันไปถามทาง หากรู้ไม่ว่า เจ๊น่ะ ให้ข้อมูลได้แต่เรื่องเกี่ยวกับ "รถไคว" เท่านั้น อย่างอื่น "ชั้นจะไปรู้ได้ไง" (ยักไหล่ด้วย) แม้จะเป็นถนนใจกลางเมืองกรานาดาที่ชั้นอยู่่ ชั้นก็บ่อฮู้บ่หันก้าาาาาา

ก้าวแรกที่เราหาโอ๊สตาลของคุณลุงเจอ กรี๊ดสลบอันแรกคือ ที่นี่มีลิฟต์! ครับท่านผู้ชม ไม่ต้องแบกอย่างทุลักทุเลกันเช่นบาร์เซโลนาอีกแล้ว...

ไปถึงบ้านลุงราวๆ สักแปดโมงเช้า คุณลุงก็รีบจัดการทุกสิ่งอย่างเพื่อให้เราได้เข้าพัก ว่าแล้วก็ยังไม่ถึงเวลาที่แขกรายอื่นเช็คเอาต์ แต่คุณลุงก็ไม่ไล่ให้เรารีบไปไหน แต่กระวีกระวาดหาแผนทีเมืองกรานาดามากาง และพยายามสื่อสารกับเราด้วยภาษาอังกฤษที่ลุงคงไม่ถนัดเท่าไร

คุณลุงออกตัวว่า กรานาดาเป็นเมืองเล็กๆ เดินไม่กี่อึดใจก็ทั่วแล้ว แต่ถ้าจะไปย่านท่องเที่ยว โดยเฉพาะ อะลัห์มบรา นั่งรถไปก็ดีเพราะภูมิประเทศเป็นเชิงเขา

เสร็จแล้วลุงก็เริ่มกระวนกระวายดูเวลา ไอ้พวกเราก็คิดว่า สงสัยลุงคงจะรีบทำธุระปะปังอะไรของแก แต่ในที่สุดคุณลุงก็ว่า ถ้ารีบไปตอนนี้ก็อาจจะยังมีสิทธิ์ได้เข้าไปเที่ยวอะลัห์มบรา

ที่แท้ลุงก็กลัวเราอดเที่ยวน่ะเอง

ครั้นพอลุงรู้ว่า พวกเราจองตั๋วเข้าชมพระราชวังแขกมัวร์เอาไว้วันรุ่งขึ้น ลุงก็เปลี่ยนแผน แนะการทัวร์กรานาดาใน 1 วันให้เราทันที อูว ว้าว

ช่วงเช้าที่เรายังไม่ได้ห้องพัก เราก็เลยออกไปเดินเที่ยวใกล้ๆ ตามแผนลุง เริ่มจากเติมเต็มท้องด้วยพิซซาหน้าชีสสไตล์สเปน ในร้านนั่งสบายสไตล์ฮิปปี้ คนที่นี่น่าปวดเฮดจริงๆ ฟังเพลงฝรั่งอังกฤษ-อเมริกันอยู่แท้ๆ แต่ไม่ยอมสื่อสารภาษาอังกฤษ ด้านความกล้านั้นสู้คนไทยก็ไม่ได้ แม้ไม่รู้ความยังพูดได้ฉอดๆ แกไม่เข้าใจก็เรื่องของแก (ฮา)

อิ่มหนาสำราญ เราก็เริ่มเดินมาเที่ยวย่านถนนกรานเบีย ไปดูโบสถ์คริสต์สมัยศตวรรษที่ 14 กัน ราคาถู้ก-ถูก แค่ 3.5 ยูโรเอง แต่หะแรกก็เสียวๆ ว่าจะมีแค่ห้องๆ เดียวที่มีแท่นบูชาต่างๆ รวมทั้งพระศพของพระนางอิซาเบลลา และฟิลิป เดอะ แฮนด์ซั่มหรือเปล่า

ที่ไหนได้ พอทางเดินออก กลับแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาเอาไว้มากมาย

เดินชมนั่นชมนี่อยู่สักพัก ใกล้เที่ยงเต็มที เราเริ่มคันเนื้อคันตัว (เพราะไม่ได้อาบน้ำตอนกลางคืนจนบัดนี้) และอยากมาม่า! (ไม่ได้หิว แต่อยาก เข้าใจป่ะ) ว่าแล้วเราก็เดินกลับไปโอ๊สตาลก่อนจะเที่ยวตามแผนที่ลุงวาดไว้ (บนแผนที่ที่ให้มาน่ะแหละ) กันต่อ

นอกจากลุงจะให้ยืมปลั๊กต่อฟรีๆ แล้ว หลังจากเราพยายามเช็กน้ำร้อนที่มไ่ม่ยอมร้อน ทำให้เราเกือบจะเฟลเรื่อง(อยาก) มาม่าไปแล้ว เราก็ใจดีสู้เสือ (นี่ขนาดลุงเขาไม่ดุสักหน่อย) จริงๆ แล้วเรียกว่าหน้าด้านไปขอน้ำร้อน โดยนำถ้วยสตาร์บักส์ที่เก็บเอามาจากเมืองที่แล้วไปใส่

ลุงทนเห็นความอเน็จอนาจไม่ได้ ก็เลยต้มน้ำมาให้เสีย 1 เหยือกโตๆ สงสัยมันจะเอามาต้มกาแฟกัน

ที่ไหนได้ ผลออกมาเป็นสตาร์บักส์มาม่า ซู้ด อาหย่อยมากๆ

นี่ขนาดไม่ได้หิวนะ อิอิ

(to be continued...)

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เดินทางลงใต้ไปกรานาดา





ในที่สุดก็ถึงกาลลาจากบาร์เซโลนาซ้ากที ขอจรลีไปที่เมืองอื่นๆ บ้างเถอะ แม้จะมีอลังการงานสร้างอีกหลายแห่งของพี่เกาดี้ที่ยังมิได้ไปเยือน (เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ เมื่อไหร่ก็ม่ายรุ)

พวกเราวางแผนเดินทางลงใต้ ไปกรานาดาโดยทางรถไฟที่เรียกว่า เทรนโฮเตล ซึ่งปรากฏว่าต่างจากภาพที่เราจินตนาการเอาไว้ม้าก มาก ด้วยความที่ค่าโดยสารเรนเฟแพ้ง แพง เราก็เลยจิตนาการเอาไว้ซะหรูหราว่า คงจะต้องเป็นเตียงนอนให้เราเหยียดยืดได้สบายอุราแน่ๆ ที่ไหนได้มันก็ไม่ต่างจากรถไฟสปรินเตอร์สักเท่าไร เคราะห์ดีเป็นสาวเอเชียขาสั้นกันทั้ง 2 ราย ก็เลยนั่งสบายๆ ลงใต้จากบาร์เซโลนาสู่กรานาดา

ที่น่าทรมานยิ่งกว่าการนั่งรถไฟตลอดคืนจนเมื่อยตูด ก็คือ สาวฝรั่งและสาวสเปนที่เมาท์ไม่หยุด ตั้งแต่เวลา 3 ทุ่มที่เราขึ้นรถไฟ กระทั่งเรื่อยเลยไป หลับแล้ว กรนแล้ว รถจอดสถานีใหญ่อีกทีที่บาเลนเซีย เวลาประมาณตี 2 she เพิ่งเดินขึ้นรถไฟมาสดๆ พร้อมโทรศัพท์มือถือประดับที่หู and then เมาท์ๆๆๆๆๆๆ โห... ตี 2 แล้ว ปลายสายมันยังไม่นอนอีกรึนั่น

ถึงยังไงก็ยังหลับลง อิอิ ตื่นมาอีกทีตอนเช้าตรู่ ทิวทัศน์ก่อนเข้าสู่เมืองกรานาดาสวยมากๆ เป็นเนินเขาที่ประดับด้วยทุ่งหญ้าเขียวเป็นหย่อมๆ แถมมีดอกหญ้าสีเหลืองเล็กๆ ปกคลุมอยู่ งดงามมากๆ (มัวแต่เมาขี้ตาเลยไม่ได้ถ่ายรูป) 555

และแล้วเราก็มาถึง กรานาดา อันเป็นที่ตั้งของ อะลัห์มบรา (Alhambra) พระราชวังแขกมัวร์สีแดง ที่ตอนนี้อยู่ในฐานะมรดกโลกของยูเนสโก (ใกล้จะเป็นญาติกับปราสาทพระวิหารรอมร่อ อิอิ)

ด้วยความที่โอ๊สตาลที่พักไม่ได้บอกอะไรไว้เลย นอกจากบอกว่า อยู่กลางเมือง ยังไงก็หาเจอ ลงโรงแรมรถไฟมาปุ๊บ เราก็แล่นเข้าไปยังเคาน์เตอร์ที่เขียนมา informacion ปั๊บ เพื่อถามทาง ยัยป้าหน้าเคาน์เตอร์ทำท่ายักไหล่หาใส่ใจในคนตัวเหลือง แล้วพ่นภาษาสเปนใส่ ฟังไม่รู้เรื่องแต่พอจะเดาออกว่า "ตูจะไปรู้ได้ไง ชั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟเท่านั้นย่ะ!" เซ็ง!

จำได้ว่า ไปถึงเวลาเช้าตรู่ ราวๆ 8 โมงเช้า ชาวสเปนน่ะหรือจะแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาไหว เดินคลำทางไปมา เจอคุณลุงท่าทางใจดีเดินมาซื้อหนังสือพิมพ์ยามเช้า เพื่อนสาวผู้รู้ภาษาสเปนนิดหน่อยต้องควักความรู้ออกมาใช้ล่ะคราวนี้ ขณะดิฉันผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ฟังอยู่ข้างๆ กาเย่ๆๆๆๆ -- เอ มันเกี่ยวอะไรกับ cahier (กาเย่ร์) ภาษาฝร่ังเศสที่แปลว่า สมุดจด (ข่าว) เล่านี่

อ้อ เขาหมายถึง กาเย่ (calle) ภาษาสเปนที่แปลว่าถนนตะหากเล่า

โอวววว์ คอมมิวนิเคชั่นเบรกดาวน์อีกแล้ว

(to be continued)

ตอนหน้าอย่าพลาดเรื่องคุณลุงรูปหล่อใจดี ประจำโอ๊สตาล อัลคาซาบาร์